Banner 468

*

ขาหมูแต้จิ๋ว

 
     
       วันที่ 27-28 ธันวาคมนี้ คุณมัณฑนา ชูติกาญจน์ ผอ.เขตคลองสาน เป็นแม่งานจัดงาน เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช ครั้งที่ 34 ณ บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ วงเวียนใหญ่ งานนี้ คุณมนูญ พุฒทอง ประธานชมรมร้านอาหารเขตคลองสาน เชิญชวนพ่อครัว กุ๊กร้านอาหาร ประชาชนทั่วไป นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมแข่งขันประกวดอาหารจานเดียว ผมขอให้คณะกรรมการ จัดโชว์อาหารย้อนยุค สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช เป็นอาหารจานเด็ดจากเมืองเท่งไฮ้-แต้จิ๋ว บ้านเกิดของ นายไหฮอง พระราชบิดา

คุณมนูญจึงสั่งกุ๊กห้องอาหารยกยอ ต้มขาหมูแต้จิ๋ว มาสักการะพระเจ้าตากสินด้วย

เครื่องปรุง
1. ขาหมูพร้อมคากิ 2 ขา, 2. ผงพะโล้ตรามือ 2 ช้อนโต๊ะ, 3. พริกไทยดำเกล็ดตรามือ 1 ช้อนโต๊ะ, 4. อบเชย (ยาว 2 นิ้ว) 2 ชิ้น, 5. โป๊ยกั๊ก 4 ดอก, 6. รากผักชี 4 ราก, 7. กระเทียม 5 หัว, 8. เห็ดหอมแช่น้ำให้นุ่ม 8 ดอก, 9. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ, 10. ซีอิ๊วดำหวาน 1 ทัพพี, 11. ซีอิ๊วขาว 2 ทัพพี, 12. น้ำสะอาด 5 ลิตร

วิธีทำต้มขาหมูแต้จิ๋ว
1.ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงหม้อ แล้ววางขาหมูเรียงไว้ก้นหม้อ จึงเติมน้ำให้ท่วม
2.ต้มเคี่ยวด้วยไฟร้อนปานกลาง 1 ชั่วโมง จึงหรี่ไฟลงแล้วเคี่ยวต่อ 30 นาที
3.ใช้ส้อมจิ้มหนังและเนื้อขาหมูเพื่อดูว่านุ่มพอใจหรือยัง จากนั้นเติมซีอิ๊ว น้ำตาลเพิ่ม เพื่อให้ได้รสชาติกลมกล่อม ไม่เค็มหรือหวานจนเกินไป

ถ้าอยากกินขาหมูแต้จิ๋วให้ไปที่ห้องอาหารยกยอ โทร. 0-2280-1319-20 ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมแข่งขันประกวด อาหารจานเดียว (อาหารทำจากข้าวและอาหารทำจากเส้นก๋วยเตี๋ยว) ชิงรางวัลโล่เกียรติยศและเงินรางวัลจาก ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ติดต่อสอบถามที่ คุณพรพัน วัฒนสินธุ์ หัวหน้าฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล เขตคลองสาน โทร. 0-2863-1664

สำหรับงานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชปีนี้ เริ่มตั้งแต่การบวงสรวงดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช บนถนนพระเจ้าตากสิน จะมีการแสดงและกิจกรรมเทิดพระเกียรติอย่างยิ่งใหญ่ มีการเชิดสิงโต-มังกรทอง เชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีน การแสดงงิ้วแต้จิ๋วโบราณ

ร้านอาหารชื่อดังในเขตคลองสานจะนำอาหารอร่อยของแต่ละร้านมาจำหน่าย และผมขอให้ คุณอรวรรณ อทินันตพันธุ์ ภัตตาคาร กอกใจเจ๋าเหล่า (โทร. 0-2437-6472 ) ไปสอนทำห่านพะโล้เท่งไฮ้ ในงานนี้ด้วย

ที่มา : เดลินิวส์
Readmore...

เห็ดนางฟ้าภูฏาน สร้างรายได้ดี

 

           จีระนันท์ พุ่มเรือง หรือ ลูกโป่ง จากฟาร์มเห็ดยายฉิม จ.นครนายก วิทยากรอบรมการเพาะเห็ดในงานตลาดนัดเศรษฐกิจพอเพียงที่พิพิธภัณฑ์การเกษตร เฉลิมพระเกียรติฯ จ.ปทุมธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้ เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีช่องทางทำกินจากการเพาะเห็ดขาย เจ้าตัวเล่าว่า เป็นคนกรุงเทพฯ ครอบครัวเป็นลูกชาวนา มีคุณยายชื่อฉิมและเคยทำเห็ดฟางเตี้ยแบบโบราณและทำอาหารจำพวกเห็ดได้เก่งมาก ซึ่งมาถึงรุ่นหลัง ๆ ในครอบครัวก็เรียนจบปริญญาตรีกัน มีหน้าที่การงานประจำ แต่ที่บ้านไม่ลืมอาชีพเกษตร อยากจะคงไว้ซึ่งอาชีพ เป็นความภาคภูมิใจของอาชีพเกษตรกร


            เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ ม.เกษตรฯ ชอบไปเดินงานเกษตรแฟร์ทุกปี และชอบกินเห็ดเป็นชีวิตจิตใจทั้งบ้านเลย ทำอาหารเห็ดพื้นบ้านก็เป็นหมด จึงไปอบรมเรื่องการเพาะเห็ดจากผู้รู้ ทำให้ทราบว่าเห็ดที่กินมีมากมายหลายสายพันธุ์ และนำมาทำเป็นเห็ดเศรษฐกิจได้ไม่ใช่แค่เห็ดฟาง จากนั้นก็เริ่มเพาะเห็ดขาย เริ่มจากเห็ดอากาศร้อน อย่างเห็ดขอน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ แล้วจึงเพาะเห็ดอากาศเย็น อย่างเช่น เห็ดนางฟ้าภูฏาน เปาฮื้อ เพิ่มสายพันธุ์จากสายพันธุ์เดิม
         จีระนันท์บอกว่า ใครอยากเพาะเห็ดขาย แนะนำให้ทำเห็ดที่ทำง่ายก่อน เช่น เห็ดนางฟ้าภูฏาน หรือ นางนวล และควรฝึกทำให้ผ่าน 3 ฤดูก่อน จะได้รู้ว่าเห็ดสายพันธุ์นี้เจออากาศแต่ละฤดูแล้วจะเกิดปัญหาอะไร ซึ่งวิธีทำก็เริ่มจากสร้างโรงเรือนกว้าง 4 เมตร ยาว 6 เมตร และขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 12 เมตร ซึ่งฟาร์มเห็ดสามารถจะย่อหรือขยายได้ตามจำนวนเห็ดที่ใส่เข้าไป แต่ความสูงต้องเกิน 4 เมตร เพราะเห็ดอากาศเย็นจะต้องมีหลังคาสูง เพื่อจะช่วยลดความร้อนและระบายความร้อนได้ดี และห้ามโดนแดดโดนลม ส่วนวัสดุที่ทำโรงเรือนก็ทำมาจากไม้ไผ่ มุงด้วยแฝก จาก พื้นปูด้วยดินและทราย ทำหน้าต่างซึ่งคลุมด้วยสแลนสีดำเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ติดระบบน้ำสปริงเกิล โดยค่าสร้างโรงเรือนที่บรรจุก้อนเห็ดได้ราว 4,000 ก้อน อยู่ที่ประมาณ 35,000 บาท ส่วนก้อนเชื้อให้ซื้อก้อนเชื้อที่เดินใยเต็มที่แล้ว ราคาก้อนละ 5-10 บาท

เห็ดต้องการความชื้นรอบนอกกับออกซิเจน และในการงอกของก้อนเชื้อจะให้ผลผลิตประมาณ 4-6 เดือนโดยเฉลี่ยต่อ 1 รุ่น บางสายพันธุ์อาจจะดีกว่า ถ้าดูแลดี ถ้าไม่ติดเชื้อจะอยู่ได้นานเกือบปี

วิธีเพาะเห็ดในถุง จีระนันท์เล่าว่า มี 3 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนเปิดดอก ยกตัวอย่าง เห็ดนางฟ้าภูฏาน ให้นำก้อนเชื้อที่เส้นใยเห็ดเจริญเต็มถุง คัดเฉพาะที่ไม่มีการปนเปื้อน มาเปิดในโรงเรือน เปิดถุงโดยเอาสำลีออก แล้วนำก้อนไปเรียงซ้อนกัน รดน้ำเช้า-เย็น รักษาความชื้นในโรงเรือน 70-90 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องระวังอย่าให้น้ำเข้าถุง เพราะถุงจะเน่า และเสียเร็ว หลังจากนั้นประมาณ 7 วัน ดอกเห็ดเล็ก ๆ จะเกิดขึ้น จากนั้นจึงเริ่มเก็บผลผลิตได้ ซึ่งจะเก็บประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้น พักก้อน 4-5 วัน คือหยุดให้น้ำ รอให้ดอกเห็ดแทงหน่อใหม่ จากนั้นเริ่มให้น้ำใหม่ และรอเก็บผลผลิตในรอบถัดไป

ต่อมาคือเรื่องการดูแลรักษากล่าวคือ ในฤดูแล้งให้รดน้ำที่พื้นที่วันละ 1-2 ครั้ง แต่สำหรับในฤดูฝน ถ้าฝนตกมากให้งดการให้น้ำ เวลาให้น้ำอย่าให้น้ำถูกดอกเห็ด ภายในโรงเรือนต้องมีอากาศถ่ายเท และมีแสงสว่างส่องเข้าถึง เส้นใยจะพัฒนาเป็นดอกเห็ดขนาดเล็กคล้ายดอกเข็ม หลังจากนั้นไม่เกิน 7 วัน ก็จะเก็บผลผลิตได้

ขั้นตอนสุดท้ายคือการเก็บดอกเห็ด ควรเก็บดอกเห็ดที่มีอายุปานกลางไม่แก่หรืออ่อนเกินไป ควรเก็บก่อนดอกเห็ดจะปล่อยสปอร์ ใช้มือจับดอกเห็ดแล้วดึงเบา ๆ ดอกเห็ดจะหลุดออกมา แล้วใช้มีดตัดส่วนที่สกปรกบริเวณโคนเห็ดออก ไม่ควรวางดอกเห็ดซ้อนกันจำนวนมาก เพราะเนื้อเยื่อเห็ดจะช้ำได้ ควรมีผ้าขาวบางวางรองบนภาชนะที่ใช้เก็บ เช่น ตะกร้า กระจาด จะช่วยลดการเสียดสีลงได้ ภาชนะควรจะโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ การเก็บรักษาในถุงพลาสติกควรเจาะรูไว้ หรือไม่ควรปิดปากถุง เพราะเห็ดยังมีขบวนการหายใจ ทำให้มีไอน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาจทำให้ดอกเห็ดเน่าเสียเร็ว ควรเก็บไว้ในที่ร่ม หากเก็บในตู้เย็นต้องบรรจุในถุงพลาสติกปิดปากถุงให้แน่น จะเก็บได้นานประมาณ 7 วัน

“หลังจากเก็บดอกเห็ดแล้ว ให้รดน้ำทุกครั้ง ๆ ละ 1-2 นาที เห็ดในรอบต่อไปจะโตขึ้น วันหนึ่ง ๆ จะเก็บเห็ดได้ 3 ครั้ง อุณหภูมิที่ดีที่สุดคือไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส ที่สำคัญในโรงเรือนต้องมีออกซิเจนให้เห็ดหายใจ” จีระนันท์บอก ก้อนเห็ด 4,000 ก้อน จะเก็บเห็ดได้ครั้งละ 100 กก.ขึ้นไป โดยราคา เห็ดนางฟ้าภูฏาน ตอนนี้จะขายได้ กก.ละประมาณ 50-70 บาท ก้อนเชื้อ 1 ก้อนจะเก็บเห็ดได้ 6-8 เดือน ๆ ละ 4 ครั้ง ส่วนเห็ดนางรม เห็ดนางนวล ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 150 บาทขึ้นไป ซึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ เพาะเห็ดขาย ก็นับว่ามีรายได้ที่น่าสน

ใครสนใจเรื่องการเพาะเห็ดอากาศเย็นสายพันธุ์ต่าง ๆ ต้องการติดต่อ จีระนันท์ พุ่มเรือง ฟาร์มเห็ดยายฉิม ติดต่อได้ที่ เลขที่ 545, 577 หมู่ 8 บ้านชะวากยาว ต.บ้านพริก อ.บ้านนา จ.นครนายก โทร. 08-9500-3728, 08-7068-1895.

ที่มา : เดลินิวส์
Readmore...

แปลงโฉมตุ๊กตา จับกระแส..แปรเป็นเงิน

 
ความชอบบวกความช่างสังเกตก็อาจจะเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่งที่ทำเงินได้ สำหรับคนที่รักและชื่นชอบในงานประดิษฐ์ บางรายแม้จะไม่มีพื้นฐานโดยตรง แต่อาศัยความขยันอดทน ค่อย ๆ เรียนรู้ ฝึกฝนจนชำนาญ ก็สามารถที่จะพัฒนากลายเป็นอาชีพสร้างเงินสร้างงานได้ อย่างเช่น ช่องทางทำกินอาชีพ รับตกแต่งตุ๊กตารายนี้...

   
ชาญณรงค์ บุญมากมีอาชีพเกี่ยวกับการรับจัดตกแต่งงานแสดงสินค้า ส่วนการรับตกแต่งตุ๊กตาที่ทำอยู่นี้ เริ่มทำมาได้ประมาณปีครึ่ง โดยมาจากความชื่นชอบ จึงทดลองนำมาประดิษฐ์ดัดแปลง โดยอาศัยข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ อาทิ หนังสือต่างประเทศและอินเทอร์เน็ต เมื่อทำเสร็จจึงลองนำไปเสนอขายให้กับร้านจำหน่ายตุ๊กตาย่านสำเพ็ง ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดี จึงมองว่าน่าจะเป็นช่องทางทำเป็นอาชีพเสริม โดยจะเปิดร้านเป็นประจำที่ตลาดรัชดาไนท์ทุกคืนวันเสาร์ และก็ยังมีช่องทางติดต่อผ่านเฟซบุ๊กที่ www.facebook.com/pages/Blythe Ratchada night market อีกช่องทาง
   
ทดลองนำมาประดิษฐ์ดัดแปลงด้วยตนเอง อาศัยหาข้อมูลจากหนังสือและอินเทอร์เน็ต เพื่อดูว่ามีเทคนิควิธีการอะไรบ้าง จากนั้นก็ลองทำจนเริ่มชำนาญ พอทำได้หลายแบบจึงนำไปเสนอร้านขายตุ๊กตา ปรากฏว่าลูกค้าชอบ หลังจากนั้นก็ทำต่อเนื่องเรื่อยมาจนกลายเป็นอาชีพไปแล้วเจ้าของงานกล่าว
   
สำหรับบริการที่รับทำ คือ การทำใบหน้าใหม่ให้ตุ๊กตา หรือ CUSTOM ซึ่งเป็นการเปลี่ยนรูปแบบปากและการแต่งหน้าเพื่อให้แสดงอารมณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น โดยมีทั้งทำตามความต้องการของลูกค้า และทำขึ้นเองเพื่อจำหน่ายให้ร้านตุ๊กตาอีกต่อหนึ่ง  การรีเมคอัพหรืองานซ่อม”   เป็นบริการซ่อมและแก้ความเสียหายของตุ๊กตา อาทิ เกิดรอยด่าง หรือมีรอยขูดขีดมา โดยจะตกแต่งใบหน้าตุ๊กตาขึ้นใหม่ หรือแก้ไขร่องรอยที่ลูกค้าไม่ต้องการ การเปลี่ยนเส้นผมโดยการเย็บแผงเส้นผมติดลงไปแทนเส้นผมเดิมที่ไม่ถูกใจ หรือแก้ไขเส้นผมของตุ๊กตาที่ชำรุดเสียหาย รวมถึงการแก้ทรงผม โดยตุ๊กตาที่รับทำนั้น มีราคาตั้งแต่ตัวละหลายพันบาทจนถึงตุ๊กตาราคาไม่กี่ร้อยบาท ส่วนใหญ่เป็นยี่ห้อยอดนิยมที่รู้จักกันดี
   
ลูกค้าจะมีที่เป็นร้านจำหน่ายตุ๊กตาที่สั่งทำเป็นจำนวนมาก กับลูกค้าทั่วไปที่จะมีแบบในใจ โดยราคาค่าบริการขึ้นอยู่กับวัสดุตกแต่ง เกรดตุ๊กตา และความยากง่ายเจ้าของธุรกิจกล่าว
   
ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้เงินลงทุนประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป หลัก ๆ จะเป็นค่าวัสดุและอุปกรณ์ ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ  30% จากราคา ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 400 บาท ไปจนถึง 2,000 บาท ขึ้นกับประเภทของงานที่ต้องทำ
   
วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ อาทิ กระดาษทรายเบอร์ 600 และเบอร์ 1,000 สำหรับขัดผิวตุ๊กตา, สเปรย์พ่นเคลียร์ ชนิดพ่นผิวด้านและแบบกันรังสียูวี, สีชอล์ก, สีสำหรับใช้ในงานโมเดลสีต่าง ๆ, ทินเนอร์ชนิดพิเศษ สำหรับใช้ในงานโมเดล, เครื่องรูทเตอร์ หรือเครื่องเจาะ, คีม, กรรไกร, คัตเตอร์, พู่กัน, ปากกาเมจิก และวัสดุตกแต่ง อาทิ ขนตา, ลูกตา, เส้นผม
   
ขั้นตอนการทำ หลังจากรับแบบความต้องการ เริ่มด้วยการแยกชิ้นส่วนของตุ๊กตาออก ลบสีเมคอัพเดิมของตุ๊กตาออกด้วยทินเนอร์ชนิดพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดรอยคราบขาวบนชิ้นงาน เสร็จแล้วทำการร่างแบบด้วยปากกาเมจิก ใช้คัตเตอร์ปลายแหลมแกะรูปปากตามแบบ จากนั้นใช้เครื่องรูทเตอร์เจาะเก็บรายละเอียด เสร็จแล้วขัดด้วยกระดาษทรายเบอร์ 600 ตามด้วยกระดาษทรายน้ำเบอร์ 1,000 จากนั้นพ่นสเปรย์เคลียร์ด้านชนิดพิเศษเป็นการรองพื้น  ลงมือตกแต่งหรือแต่งหน้าตุ๊กตาตามแบบที่ได้กำหนดไว้ เสร็จแล้วพ่นสเปรย์แบบด้านชนิดป้องกันรังสียูวีทับอีก 2-3 ครั้ง เพื่อความทนทานและป้องกันไม่ให้ผิวตุ๊กตามีสีเหลืองจากการทิ้งไว้นาน เติมสีปากให้มันวาวดูสมจริง    
ส่วนการเปลี่ยนเส้นผมนั้น จะมีทั้งลูกค้านำเส้นผมหรือวิกมาเอง หรืออาจจะให้ทางร้านจัดหาให้ โดยขั้นตอนเริ่มจากการโกนผมเก่าของตุ๊กตาทิ้ง จากนั้นเลาะเส้นผมออกจากวิกเก่าให้เป็นแผง ค่อย ๆ ติดกาวลงไป และเย็บติดให้แน่น โดยใช้สว่านเจาะหู เพนท์สีที่เปลือกตา และเปลี่ยนขนตาแบบหนาแทนของเก่า โดยลูกค้าบางรายอาจมีอะไหล่ที่ต้องการเตรียมมาจากบ้านเพื่อให้ที่ร้านเปลี่ยนให้ หรืออาจจะสั่งทำใหม่ หรือทำสีทับดวงตาเดิม  เสร็จแล้วจึงประกอบกลับคืน
ขั้นตอนในการ ตกแต่งตุ๊กตา1 ตัว อาจจะดูไม่มาก แต่มีรายละเอียดปลีกย่อย และต้องอาศัยความชำนาญ ความใจเย็นพอสมควร ระยะเวลาอยู่ที่ 1 วันต่อตุ๊กตา 1 ตัว หรืออาจจะนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับรายละเอียด ความยากง่าย
กระแสขณะนี้ถือว่าตลาดยังไปได้ เพราะปัจจุบันมีตุ๊กตาหลายแบบ หลายยี่ห้อ และหลายระดับราคา ที่สำคัญส่วนใหญ่ทำตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ โอกาสที่ตลาดตันจึงมีน้อยเจ้าของ ช่องทางทำกินรายนี้ระบุ ซึ่งหากใครสนใจติดต่อ ก็ โทร. 08-9118-1519 หรืออีเมล me2por@yahoo.co.th ใครสนใจรายละเอียดมากกว่านี้ก็ลองสอบถามกันโดยตรง.
ที่มา : เดลินิวส์
Readmore...

กระทงเปรี้ยวหวาน ข้าวแต๋นทรงเครื่อง

 



จันทรา สวัสดิบุตร พนักงานเคหกิจเกษตร เจ้าของสูตร และผู้ฝึกอบรม เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการเปิดสูตรอาหารดังกล่าวมาจากการที่กรมส่งเสริมการเกษตรต้อง การส่งเสริมอาชีพเกษตรกร และกลุ่มแม่บ้าน รวมทั้งอยากให้คนไทยทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะลองทำขนม 2 ชนิดนี้ และสอนให้บุคคลทั่วไป ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ทำนั้น เป็นอุปกรณ์ทำอาหารทั่วไป หาได้ในครัวเรือน อาทิ เตาแก๊ส กระทะ กะละมัง และภาชนะอื่น ๆ

เริ่มที่ กระทงเปรี้ยวหวาน ซึ่งก็ทำได้ไม่ยาก ในส่วนของตัวกระทงแป้งนั้นซื้อแบบสำเร็จรูปจากห้างสรรพสินค้าได้ ซึ่งจะมีกระทงแป้ง 2 ชนิดคือ รสเค็ม กับรสหวาน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้วครึ่ง เก็บรักษาโดยไม่ให้โดนความชื้น โดยที่อาหารในกระทงนั้นถ้าเป็นของคาวก็ใช้กระทงแบบเค็ม ถ้าเป็นของหวานก็ใช้กระทงแบบหวาน

กระทงแป้งนี้จะทำเองก็ได้ โดยใช้แป้งสาลี ผสมกับเนยแข็ง นวดให้เข้ากัน จากนั้นเอาไปใส่ในแท่นพิมพ์กระทง แล้วจึงนำไปอบทิ้งไว้ แต่เลือกซื้อกระทงสำเร็จรูปก็จะประหยัดเวลา และทำกระทงเปรี้ยวหวานได้ง่ายขึ้น ไม่ซับซ้อน

วัตถุดิบต่อการทำกระทงเปรี้ยวหวาน 40 กระทง ประกอบด้วย ปลาฉิ่งชั้งหรือปลาตัวเล็ก 50 กรัม, พริกหวาน (พริกยักษ์) สีแดง เขียว เหลือง อย่างละ 100 กรัม (มีหลายสีทำให้ดูน่ารับประทาน), สับปะรด 100 กรัม, มันฝรั่ง 100 กรัม, เมล็ดถั่วลันเตาต้มหรือนึ่ง 50 กรัม, ผักชีหรือพาร์เล่ย์ 50 กรัม ส่วนน้ำเปรี้ยวหวาน มีส่วนผสมคือ น้ำปลา 1/4 ถ้วยตวง, น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง, ซอสพริก 1/4 ถ้วยตวง, น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันพืช 1 ถ้วยตวง, พริกขี้หนูแห้งทอด 5 กรัม

วิธีทำกระทงเปรี้ยวหวาน
ล้างพริกหวาน ปอกสับปะรด มันฝรั่ง แล้วหั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ ทอดมันฝรั่งพอให้สีออกเหลือง ล้างผักชีหรือพาร์เล่ย์แล้วเด็ดเป็นใบเล็ก ๆ ในส่วนของน้ำเปรี้ยวหวาน ปรุงโดยผสมน้ำปลา น้ำตาลทราย ซอสพริก น้ำมะนาว คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย จะได้สีน้ำเปรี้ยวหวานที่คล้าย ๆ กับสีของซอสพริก ถ้าทำให้เด็ก ๆ ทานก็ใช้ซอสมะเขือเทศแทน

จากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้มาคลุกเคล้ากับน้ำเปรี้ยวหวานให้ เข้าเนื้อกัน แล้วตักใส่กระทงแป้ง แต่งหน้าให้สวยงามด้วยผักชี ปลา และพริกขี้หนูแห้งทอด ซึ่งเคล็ดลับในการทำ กระทงเปรี้ยวหวาน คือวัตถุดิบทุกอย่างต้องสดใหม่ การใส่ผลไม้ พริกสด ทำให้กรอบอร่อย การโรยด้วยผักชีช่วยดับกลิ่นคาวของปลาและพริกหวานด้วย

สำหรับ ข้าวแต๋นทรงเครื่อง คุณจันทราอยากให้คนหันมากินข้าวแต๋นที่ทำจากข้าวเหนียว ให้คุณค่าทางโภชนาการและอิ่มท้อง และยังเป็นการผสมผสานอาหารแบบไทย ๆ กับการตกแต่งอาหารแบบฝรั่งด้วย เหมือนอาหารฝรั่งที่ใช้แครกเกอร์หรือขนมปัง แต่ใช้ข้าวแต๋น นอกจากนี้ ข้าวแต๋นทรงเครื่องยังเหมาะที่จะเป็นอาหารในเวลารีบเร่งอีกด้วย

ส่วนผสมในการทำข้าวแต๋นทรงเครื่องหาซื้อได้ง่ายตามตลาดสดหรือห้างสรรพสินค้า ทั่วไป โดยตัวข้าวแต๋นนั้นใช้แบบที่ทอดแล้วสำเร็จรูปได้ มีกลุ่มแม่บ้านทำขายหลายจังหวัด เช่น ปราจีนบุรี, ลำปาง, พะเยา เป็นต้น มีวางขายในศูนย์ศิลปาชีพ โดยคุณจันทราเลือกใช้ข้าวแต๋นที่มีขนาดเท่ากับเหรียญ 10 บาท ซึ่งเวลาทานจะสะดวก พอดีคำ ถ้าใครจะทำข้าวแต๋นเองก็นำข้าวเหนียวมาแช่น้ำแล้วนึ่งให้สุก จากนั้นเอาไปใส่พิมพ์แล้วตาก หรือนำไปอบก็ได้

การทำข้าวแต๋นทรงเครื่อง 180 ชิ้น จะใช้ข้าวแต๋น 300 กรัม, ปูอัด 150 กรัม, ทูน่า 150 กรัม, ไก่ต้มฉีกฝอย 150 กรัม, พริกแดง 50 กรัม, ผักชีหรือพาร์เล่ย์ 50 กรัม, มายองเนส หรือน้ำสลัด (แบบสำเร็จ) 1 ถ้วยตวง ถ้าจะทำน้ำสลัดเองก็นำไข่ไก่ น้ำตาลทราย นมข้น น้ำมันพืช น้ำมะนาว น้ำส้มสายชู พริกไทยป่น เกลือป่น ผสมและตีให้เข้ากัน จะใช้ส่วนผสมตัวไหนมากน้อยแล้วแต่ความชอบ

 วิธีทำข้าวแต๋นทรงเครื่อง
เริ่มจากผสมปูอัด ทูน่า หรือไก่ต้มฉีกฝอย กับมายองเนสที่เตรียมไว้ คนให้เข้าเนื้อกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ทาบนแผ่นข้าวแต๋น แล้วแต่งหน้าด้วยพริกแดงหรือผักชีก็ได้ตามใจชอบ เป็นอันเสร็จ

สำหรับต้นทุน ถ้าเป็นกระทงเปรี้ยวหวานจำนวน 40 ชิ้น ต้นทุนจะตกกระทงละประมาณ 5 บาท ราคาขายกระทงละ 7 บาทขึ้นไป ส่วนข้าวแต๋นทรงเครื่อง 180 ชิ้น มีต้นทุนประมาณ 120 บาทขึ้นไป ราคาขายชิ้นละ 3 บาทขึ้นไป โดยในการขายก็อาจจะจัดเป็นแพ็ก มีหลายชิ้น กระทงเปรี้ยวหวานก็อาจจะแยกตัวกระทงแป้งและน้ำเปรี้ยวหวานออกจากกัน ในส่วนของข้าวแต๋นทรงเครื่องก็อาจจะแยกน้ำที่เป็นเครื่อง ให้ผู้บริโภคไปทาเองตามใจชอบ

ทั้ง กระทงเปรี้ยวหวาน ข้าวแต๋นทรงเครื่อง เหมาะที่จะเป็นอาหารว่าง อาหารในชั่วโมงเร่งด่วน หรืออาหารในงานเลี้ยงงานสัมมนา เป็นอาหารที่มีจุดขายคือทานสะดวก มีคุณค่าทางโภชนาการ มีแคลอรีต่ำ ทานได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งใครสนใจฝึกทำกระทงเปรี้ยวหวาน ข้าวแต๋นทรงเครื่อง ติดต่อ คุณจันทรา สวัสดิบุตร ได้ที่ โทร. 08-1827-3563.

ที่มา : เดลินิวส์
Readmore...

เกี๊ยวยักษ์ สร้างจุดขาย ทำเงิน

 

แม้แต่อาชีพขายอาหารก็ยังจำเป็นที่จะต้องสร้างจุดเด่น เฟ้นจุดขาย เพราะนอกจากจะช่วยให้เกิดความแตกต่างแล้ว ก็ยังเสริมให้ลูกค้าจดจำเอกลักษณ์ของร้านค้าได้อีกด้วย อย่างเช่น เกี๊ยวยักษ์ ของ หนึ่ง-ธนัตถ์ธิติ อยู่คำ ที่สามารถทำให้เมนูก๋วยเตี๋ยวธรรมดา ๆ กลายเป็นเมนู-เป็น ช่องทางทำกิน ที่น่าสนใจ

หนึ่ง-ธนัตถ์ธิติ ชายหนุ่มผมยาววัย 41 ปี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อแปลก ลุงหนึ่งเกี๊ยวยักษ์ บอกกับเราว่า ร้านของเขาเปิดขายมาได้ 4-5 ปีแล้ว โดยมี 2 สาขาคือ ที่ศูนย์อาหารเมืองทองธานี และที่ร้านบนถนนอินทราวาส ย่านตลิ่งชัน โดยแต่เดิมก็ทำเมนูก๋วยเตี๋ยวขายทั่ว ๆ ไป จนครั้งหนึ่งมีกลุ่มเด็กนักเรียนมาบอกว่า ที่ร้านไม่มีเกี๊ยวตัวโตกว่านี้บ้างหรือ จึงเกิดไอเดียว่าถ้าจะทำเกี๊ยวขนาดใหญ่กว่าขนาดปกติ น่าจะสร้างจุดสนใจ และดึงดูดลูกค้าได้ จึงทดลองทำออกมาทั้งเกี๊ยวหมูและเกี๊ยวกุ้ง ปรากฏว่าลูกค้าติดใจมาก และกลายมาเป็นจุดขายของทางร้านที่ลูกค้าใช้เรียกและบอกต่อ ๆ กันแบบปากต่อปาก จนกลายมาเป็นที่มาของชื่อร้านจนถึงปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นเริ่มจากที่มีเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ตะโกนสั่งเกี๊ยวชิ้นใหญ่ ๆ แค่ประโยคสั้น ๆ ทำให้ฉุกคิดว่าถ้าสามารถทำเกี๊ยวขนาดใหญ่กว่าปกติ น่าจะแปลกและมีจุดขายมากขึ้น จึงเป็นที่มาของเกี๊ยวยักษ์ในวันนี้ เจ้าของร้านกล่าว


และนอกจาก เกี๊ยวยักษ์ ที่เป็นจุดขายแล้ว เมนูปกติก็ถือว่าสำคัญไม่แพ้กัน โดยที่ร้านจะมีเมนูก๋วยเตี๋ยวที่เป็นเมนูยอดนิยม อย่างเช่น ก๋วยเตี๋ยวต้มยำลูกชิ้นหมูเด้ง บะหมี่แห้ง บะหมี่น้ำ บะหมี่ต้มยำ โดยขายในราคาชามละ 35 บาท ส่วนเกี๊ยวยักษ์นั้นหากลูกค้าต้องการเพิ่มก็จะขายแยกออกมาเป็นเมนูเสริม สำหรับทานเคียงกับเมนูก๋วยเตี๋ยว โดยจำหน่ายอยู่ที่ราคาลูกละ 7 บาท สำหรับเกี๊ยวหมู และราคาลูกละ 10 บาท สำหรับเกี๊ยวกุ้ง

แต่ละวันจะผลิตเกี๊ยวยักษ์ขายแบบหมดแล้วก็จะหมดเลย ไม่มีเพิ่ม เจ้าของร้านระบุ

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป โดยส่วนใหญ่เป็นค่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตเกี๊ยว โดยงบลงทุนส่วนนี้ไม่รวมค่าเช่าร้าน ค่าเช่าพื้นที่ ค่าอุปกรณ์ตกแต่งร้าน ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 70% ของราคาขาย รายได้นั้นก็จะมี 2 ทาง จากเมนูก๋วยเตี๋ยว และเมนูเกี๊ยวยักษ์ ราคาก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ชามละ 35 บาท ส่วนเกี๊ยวยักษ์ลูกละ 7-10 บาท

เครื่องมือและอุปกรณ์หลัก ๆ ประกอบด้วย เครื่องบดเนื้อหมู และเครื่องตีแป้ง สำหรับตีส่วนผสม ที่เหลือเป็นอุปกรณ์ทั่ว ๆ ไปสำหรับร้านก๋วยเตี๋ยว อาทิ หม้อต้มก๋วยเตี๋ยว, ภาชนะใส่ก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ

ส่วนผสมในการทำเกี๊ยวหมู-เกี๊ยวกุ้ง ต่อจำนวน 200 ลูก ประกอบไปด้วย เนื้อหมูสับบดละเอียด ประมาณ 10 กิโลกรัม, แป้งมัน 1 กิโลกรัม, ไข่ไก่ 10 ฟอง ส่วนถ้าเป็นเกี๊ยวกุ้ง จะเปลี่ยนจากการใช้เนื้อหมูเป็นการใช้กุ้งขาว 200 ตัวแทน โดย กุ้ง 1 ตัว ต่อเกี๊ยวยักษ์ 1 ลูก ส่วนเครื่องปรุง ใช้เพียงพริกไทย 3 ช้อนโต๊ะ เพื่อเพิ่มรสชาติ ที่ไม่ใช้พริกไทยมาก เพราะอาจจะเผ็ดเกินไปสำหรับลูกค้าที่เป็นเด็กเล็ก


ขั้นตอนการทำเกี๊ยวยักษ์
สูตรลุงหนึ่ง เริ่มจากนำเนื้อหมูมาบดด้วยเครื่องบดให้ละเอียด จากนั้นนำมาสับด้วยมีดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ได้เนื้อหมูที่มีความละเอียดมากขึ้น จากนั้นนำแป้งมันที่เตรียมไว้แล้วมาผสมกับไข่ไก่ คลุกเคล้าให้เข้ากัน หรือใช้เครื่องตีแป้งตีให้เข้ากันรอบหนึ่ง เมื่อได้ที่แล้วนำเนื้อหมูบดสับละเอียดที่เตรียมไว้ใส่ลงไป จากนั้นใช้มือคลุกเคล้าให้แป้งมันและไข่ไก่เข้าเนื้อกัน ปล่อยทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ส่วนผสมซึมซับเข้าสู่เนื้อหมู

หลังจากครบกำหนดแล้ว นำส่วนผสมที่ได้มาห่อด้วยแผ่นแป้งเกี๊ยว เป็นอันพร้อมใช้ ซึ่งแผ่นเกี๊ยวสามารถใช้ที่มีจำหน่ายสำเร็จรูปอยู่ทั่วไป เพียงแต่เอามาตัดขนาดให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ

ถ้าเป็นการทำเกี๊ยวกุ้ง ก็นำหมูสับบดละเอียดมาห่อเข้าที่ตัวกุ้ง ก่อนที่จะห่อด้วยแผ่นแป้งเกี๊ยว ก็เป็นอันเสร็จ

รายได้จากการขายเกี๊ยวกุ้งและเกี๊ยวหมูนั้น ต่อ 200-300 ลูก จะมีรายได้ก่อนหักทุนประมาณ 1,400-3,000 บาทเจ้าของสูตรเมนูเกี๊ยวยักษ์ระบุ ซึ่งก็ถือว่าเป็นรายได้น่าสนใจ ที่นอกเหนือไปจากรายได้ของเมนูก๋วยเตี๋ยว

เจ้าของสูตรบอกด้วยว่า เน้นให้ลูกค้าประทับใจและติดใจในรสชาติ มากกว่าที่จะเน้นขายเอากำไรเยอะ ๆ ถือว่าลูกค้าอยู่ได้ร้านก็อยู่ได้ ซึ่งในอนาคตเขามีเป้าหมายที่จะผลิตเกี๊ยวยักษ์ให้มากขึ้น เพื่อขายส่งอีกทางหนึ่งด้วย

ร้านลุงหนึ่งเกี๊ยวยักษ์ ตั้งอยู่ที่เลขที่ 32 หมู่ 21 ถนนอินทราวาส แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ โทร. 08-2962-7807 เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น แต่ เกี๊ยวยักษ์ มักจะขายหมดก่อนเวลาปิดร้าน ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ
ความ ช่างคิด-ช่างทำ ที่แม้แต่คนในอาชีพขายอาหาร ก็ไม่ควรขาดจุดนี้.

ที่มา : เดลินิวส์

Readmore...

คัพเค้กผ้าขนหนู Cup Cake towel

 

จิระวดี วันจันทร์ศิริ เจ้าของงานไอเดียแปลกแหวกแนว เล่าว่า เรียนจบทางด้านศิลปกรรมมานาน แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้วิชา จนต่อมาต้องแต่งงานจึงคิดหาของที่ระลึก-ของชำร่วยเพื่อแจกให้แขกในงานแต่ง งานของตนเอง เนื่องจากอยากได้ของที่ระลึก ของชำร่วยที่ตรงกับที่ตนเองต้องการ ประกอบกับเป็นคนที่ชอบทานขนมเค้กมาก จึงติดใจในรูปแบบและความน่ารักของขนมเค้ก โดยเฉพาะ คัพเค้กเค้กที่มีลักษณะเป็นถ้วย ๆ จึงพยายามคิดดัดแปลงและทำจนสำเร็จ ปรากฏว่าเพื่อนฝูงและคนสนิทชอบ และมาติดต่อให้ช่วยทำ คัพเค้กผ้าขนหนูเพื่อจะนำไปเป็นของชำร่วย จึงคิดว่าน่าจะพัฒนาและต่อยอดทำเป็นอาชีพได้ จึงทำจำหน่ายเรื่อยมา โดยทำมาประมาณ 2 ปีแล้ว ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี

เริ่มแรกไม่ได้ทำขาย ทำไว้สำหรับแจกในงานแต่งงานของตัวเองเท่านั้น ปรากฏว่าแขกที่มาร่วมงานชอบ ต่อมาก็เลยมีการติดต่อให้ช่วยทำ จากจุดนั้นก็ขยายวงกว้างออกมาเรื่อย ๆ จนยึดทำเป็นอาชีพในปัจจุบันเจ้าของชิ้นงานกล่าว

สำหรับแรงบันดาลใจและไอเดีย จิระวดีขยายว่า นอกจากจะเป็นคนที่ชอบทานขนมเค้กมากแล้ว ยังชอบที่รูปทรงกับสีสันของภาชนะที่นำมาใส่หรือจัดวางเค้กอีกด้วย เนื่องจากมีสีสันและรูปทรงที่หลากหลาย น่ารัก จึงคิดว่าหากนำวัสดุที่สามารถนำไปใช้งานต่อได้ อย่าง ผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ นำมาประดิษฐ์ให้แทนเนื้อเค้กจริง ๆ ก็น่าจะเป็นไอเดียที่ดี และสร้างความแตกต่างจากสินค้าประเภทของชำร่วยที่มีอยู่ในตลาดได้ จึงเกิดเป็น คัพเค้กผ้าขนหนูอย่างที่เห็น โดยใช้ชื่อสินค้าว่า ต้นกล้าและจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ http://tonklafavors.weloveshopping.com ซึ่งปัจจุบันมีทั้งลูกค้าตรง คือคู่วิวาห์ และลูกค้าที่เป็นบริษัทรับจัดงานแต่งงาน รวมถึงลูกค้าที่มารับสินค้าเพื่อนำไปจำหน่ายอีกต่อหนึ่ง

ตลาดตอนนี้ถือว่าไปได้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คนไทยนิยมจัดงานแต่งงาน อาทิ ช่วงปลายปี โดยลูกค้าจะมีหลากหลายกลุ่ม แต่ที่เห็นชัดเจนคือลูกค้าคู่วิวาห์จะมีเพิ่มมากขึ้นจากแต่ก่อน อาจเป็นเพราะไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป และลูกค้าปัจจุบันต้องการของชำร่วยที่แตกต่างออกไปจากสินค้าทั่ว ๆ ไปที่มีอยู่ในตลาด

รูปแบบของ คัพเค้กผ้าขนหนูนั้น ปัจจุบันมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 40 แบบ และยังสามารถต่อยอดพัฒนางานออกไปได้อีกเรื่อย ๆ โดยสินค้าที่ลูกค้านิยมส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบอย่าง ขนมคัพเค้ก, เค้กสามเหลี่ยม, แยมโรล เป็นต้น

ทุนเบื้องต้นอาชีพ ใช้งบประมาณลงทุนราว 2,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ซึ่งสินค้านั้นราคาตั้งแต่ชิ้นละ 15 บาท ไปจนถึง 200 บาท ขึ้นอยู่กับรายละเอียดและความยากง่ายของชิ้นงานเป็นสำคัญ

วัสดุและอุปกรณ์ในการทำ คัพเค้กผ้าขนหนูหลัก ๆ ที่จำเป็น ประกอบด้วย ผ้าขนหนูสีสันต่าง ๆ, ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ สำหรับใส่เบเกอรี่, ดอกไม้ประดิษฐ์ หรือวัสดุตกแต่ง, กระดาษสา, ปืนยิงกาวซิลิโคน และเครื่องมือในงานประดิษฐ์ อาทิ กรรไกร คัตเตอร์ เข็ม-ด้าย เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากคิดแบบ โดยอาจร่างแบบลงบนกระดาษก่อน เพื่อกำหนดว่าจะเลือกใช้ผ้าขนหนูกี่ผืนต่อ 1 ชิ้นงาน จากนั้นเลือกภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่จะใช้ โดยเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของชิ้นงานหรือผ้าขนหนูที่จะใส่เข้าไป เมื่อเลือกและกำหนดแบบได้แล้ว เริ่มจากการนำผ้าขนหนูที่เตรียมไว้มาทำการม้วนให้ครบวงรอบ จากนั้นจึงจับจัดวางลงไปในภาชนะที่เตรียมไว้ โดยไม่ต้องยึดกาว แต่ต้องระวังอย่าให้ชิ้นงานหลวมหรือแน่นจนเกินไป

ขั้นตอนต่อมา นำวัสดุตกแต่งที่เตรียมไว้มาประดับลงบนผ้าขนหนูซึ่งใช้แทนเนื้อเค้ก นำปืนกาวยิงยึดติดส่วนประกอบของวัสดุตกแต่ง ส่วนการทำวิปปิ้งครีมเทียมนั้น เจ้าของชิ้นงานเผยว่า เลือกใช้กระดาษสา โดยนำมาขยำหรือจับให้เป็นก้อน ๆ คล้ายกับวิปปิ้งครีม และใช้ปืนกาวยิงเพื่อยึดติด ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

การทำมีขั้นตอนไม่มาก และไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังและความประณีตพอสมควร จุดเด่นอีกอย่างของชิ้นงานที่ผลิตขึ้นคือเรื่องรายละเอียดและคุณภาพ เพราะเราเป็นร้านเล็ก ๆ ดังนั้นเรื่องคุณภาพจึงสำคัญ เพราะจะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น และช่วยกันบอกแบบปากต่อปาก ซึ่งถือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์สินค้าให้ร้านเราทางอ้อมเจ้าของงานไอเดีย คัพเค้กผ้าขนหนูระบุ

ใครสนใจชิ้นงาน ต้องการติดต่อเจ้าของงานไอเดีย คัพเค้กผ้าขนหนูรายนี้ ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2980-0232, 08-9275-4004 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกงานไอเดียที่กล้าที่จะแหวกแนวสร้างความแตกต่าง จนเป็น ช่องทางทำกินได้อย่างดี.

ที่มา : เดลินิวส์
Readmore...

อาชีพตกแต่ง เคสโทรศัพท์มือถือ

 

ตกแต่ง เคสโทรศัพท์มือถือ
งานประดิษฐ์สามารถพลิกแพลงสร้างจุดขายไปได้เรื่อย ๆ หากเจ้าของไอเดียสามารถเข้าใจความต้องการของตลาด และประยุกต์งานประดิษฐ์ให้เข้ากระแสความนิยม ก็สามารถสร้างอาชีพสร้างรายได้ได้อย่างดี เหมือนกับการประดิษฐ์งานผนึกวัสดุ (กระดาษ ทิซชู) ลงบน เคสโทรศัพท์มือถือ นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง ช่องทางทำกิน ที่ดีได้ ในยุคนี้

วิไลพร เอี่ยมวุฒิกร หรือ โอ๋ เจ้าของงานศิลปะแนพกิ้น เดคูเพจ การผนึกกระดาษทิซชูลงบนวัตถุ (napkin decoupage) เล่าถึงที่มาที่ไปของการผนึกวัสดุ (กระดาษทิซชู) ลงบนเคสโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะเคสไอโฟน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ โดยบอกว่า ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว งานเดคูเพจสามารถทำลงเครื่องจักสานได้ แต่ส่วนตัวมองว่ามันมีอะไรบ้างที่ลงได้อีก และคนใช้เคสโทรศัพท์มือถือทำได้ และมีอย่างอื่นด้วยที่สามารถทำได้ อาทิ กล่องพลาสติก กล่องกระดาษทิซชู เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบงานกล่องมาก ทำได้หมด แต่เคสโทรศัพท์มือถือปัจจุบันเป็นที่นิยม เป็นแฟชั่น คนเปลี่ยนเคสโทรศัพท์เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย พอทำแล้วได้ผลตอบรับดี ก็จึงทำเป็นอาชีพ และเปิดสอนด้วย

อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้เคสโทรศัพท์มือถือสีขาว, กระดาษทรายน้ำ (3 เอ็ม) เบอร์ 400, กาวลาเท็กซ์, พู่กัน, แปรง, กรรไกรเล็ก, ลูกกลิ้ง (หรือขวดแก้วเล็ก ๆ), น้ำยาเคลือบ, ผ้าคอตตอน, กระดาษทิซชู และไดร์เป่าผม (ขนาดเล็ก)
108 อาชีพตกแต่ง เคสโทรศัพท์มือถือ


ตกแต่ง เคสโทรศัพท์มือถือ

งานศิลปะแนพกิ้น เดคูเพจ การผนึกกระดาษทิซชูลงบนวัตถุ อย่างงาน ตกแต่ง เคสโทรศัพท์มือถือ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้
เคสโทรศัพท์มือถือ

งานประดิษฐ์สามารถพลิกแพลงสร้างจุดขายไปได้เรื่อย ๆ หากเจ้าของไอเดียสามารถเข้าใจความต้องการของตลาด และประยุกต์งานประดิษฐ์ให้เข้ากระแสความนิยม ก็สามารถสร้างอาชีพสร้างรายได้ได้อย่างดี เหมือนกับการประดิษฐ์งานผนึกวัสดุ (กระดาษ ทิซชู) ลงบน เคสโทรศัพท์มือถือ นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง ช่องทางทำกิน ที่ดีได้ ในยุคนี้

วิไลพร เอี่ยมวุฒิกร หรือ โอ๋ เจ้าของงานศิลปะแนพกิ้น เดคูเพจ การผนึกกระดาษทิซชูลงบนวัตถุ (napkin decoupage) เล่าถึงที่มาที่ไปของการผนึกวัสดุ (กระดาษทิซชู) ลงบนเคสโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะเคสไอโฟน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ โดยบอกว่า ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว งานเดคูเพจสามารถทำลงเครื่องจักสานได้ แต่ส่วนตัวมองว่ามันมีอะไรบ้างที่ลงได้อีก และคนใช้เคสโทรศัพท์มือถือทำได้ และมีอย่างอื่นด้วยที่สามารถทำได้ อาทิ กล่องพลาสติก กล่องกระดาษทิซชู เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบงานกล่องมาก ทำได้หมด แต่เคสโทรศัพท์มือถือปัจจุบันเป็นที่นิยม เป็นแฟชั่น คนเปลี่ยนเคสโทรศัพท์เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย พอทำแล้วได้ผลตอบรับดี ก็จึงทำเป็นอาชีพ และเปิดสอนด้วย

อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้เคสโทรศัพท์มือถือสีขาว, กระดาษทรายน้ำ (3 เอ็ม) เบอร์ 400, กาวลาเท็กซ์, พู่กัน, แปรง, กรรไกรเล็ก, ลูกกลิ้ง (หรือขวดแก้วเล็ก ๆ), น้ำยาเคลือบ, ผ้าคอตตอน, กระดาษทิซชู และไดร์เป่าผม (ขนาดเล็ก)
เคสโทรศัพท์มือถือ
วิธีเลือกเคสโทรศัพท์มือถือ

วิไลพรบอกว่า ต้องเลือกกรอบให้เลือกแบบเรียบ เพราะถ้าเป็นแบบมีรูมาก ๆ ทำให้พื้นที่ในการยึดติดระหว่างกระดาษทิซชูกับเคสมีน้อย การใช้ระยะยาวไม่น่าจะดี คือร่อนได้ง่าย ส่วนเคสซิลิโคนเวลาแปะกระดาษทิซชูจะร่อนได้ง่าย เคสพื้นเรียบดีที่สุด มันเงาไม่มาก เพราะมันเงามากต้องขัดเยอะ เคสนี้ก็หาซื้อได้ตามท้องตลาด ที่เป็นเนื้อพลาสติกราคาก็มีตั้งแต่ 30-1,000 บาท เน้นสีขาว เพราะไม่ต้องลงสี

ส่วนกระดาษทิซชูที่ใช้ เป็นกระดาษทิซชูที่นำเข้าจากต่างประเทศ ขนาดมี 4 ไซซ์นิยม คือ 25×25 ซม., 33×33 ซม. และ 40×40 ซม. ราคาแผ่นละ 25 บาท กระดาษทิซชูนี้มี 3 ชั้น แต่ใช้ด้านบนสุดที่มีลายเท่านั้น ส่วนลายยอดนิยมคือ ลายดอกไม้ ลายผลไม้ ลายตุ๊กตา ลายวิว ลายการ์ตูน กระดาษทิซชู 1 แผ่น ทำเคสได้ 4 ชิ้น เพราะกระดาษทิซชู 1 แผ่นมี 4 บล็อก และขนาดที่นิยมคือขนาด 33×33 ซม.
วิธีทำเคสโทรศัพท์มือถือ

เริ่มที่ใช้กระดาษทรายเบอร์หยาบ เบอร์ 400 ขัดเคสโทรศัพท์รอบ ๆ ให้เป็นรอย วิธีขัดคือเป็นวงกลม ขัดเพื่อเกิดร่อง เวลาทากาวแล้วกาวจะติดตามร่อง โดยเฉพาะตามมุมต้องขัดให้เยอะ เพราะต้องยึดกาวเยอะ ๆ ขัดเพื่อให้ทากาวติด เพราะโทรศัพท์จะตกบ่อยมาก กระดาษทิซชูจะกะเทาะออกได้ง่าย เพื่อยึดแนพกิ้นให้ติดกับวัสดุ ขัดเสร็จก็ปัดฝุ่นออก จากนั้นทากาวเสร็จแล้วเป่าให้แห้ง แต่ไม่ต้องแห้งสนิท แค่หมาด ๆ เกือบแห้ง คือกะให้เวลาวางกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์มือถือแล้ว ยังสามารถดึงออกได้โดยที่กระดาษทิซชูไม่ขาด

กะขนาดกระดาษทิซชูใหัใหญ่กว่าเคสโทรศัพท์มือถือห่างจากขอบ 1 นิ้ว เสร็จแล้วลอกกระดาษทิซชู ชั้นที่ 2, 3 ออก ใช้ชั้นบนสุด โดยวางกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์มือถือแล้วใช้มือกด และรีดกระดาษทิซชูให้เรียบ เสร็จแล้วตัดมุมเพื่อเข้ามุมให้เรียบ แล้วใช้มือกด ต่อมาใช้ผ้าคอตตอนที่มีขนาดใหญ่กว่ากระดาษทิซชู นำไปชุบน้ำให้หมาดกึ่งเปียก แล้วดึงให้ตึง แล้วคลุมไปที่เคสโทรศัพท์เพื่อผนึกให้กระดาษทิซชูกับเคสติดแน่น เสร็จแล้วใช้ขวดกลิ้งบนผ้าจากล่างขึ้นบน (อย่ากลิ้งกลับไปกลับมา) แล้วก็กลิ้งขวาง แล้วก็ใช้ไดร์เป่าให้แห้ง ต่อไปนำผ้าคอตตอนคลุมสันของเคสโทรศัพท์มือถือ แล้วใช้นิ้วชี้กลิ้งเพื่อผนึกสันของเคสโทรศัพท์ แล้วใช้ไดร์เป่า เสร็จแล้วทำด้านต่อไป

ขั้นตอนถัดมาคือ ตัดกระดาษทรายขนาด 1×1 นิ้ว ใช้กระดาษทรายมาทำการตัดขอบ โดยรูดจากด้านนอกเข้าด้านใน จนกระดาษทิซชูขาดออกจากขอบ จากนั้นใช้น้ำยาเคลือบ 5-6 ชั้น โดยทาแต่ละชั้นเสร็จแล้วต้องเป่าให้แห้ง ขั้นตอนสุดท้ายคือเช็ดทำความสะอาดด้านในที่เปื้อนกาวและน้ำยาเคลือบเป็นอันเสร็จ ราคาขายต่อชิ้นอยู่ 690-890 บาท ต้นทุนไม่เกิน 500 บาท

สนใจอาชีพ ตกแต่งเคสมือถือ ศิลปะการผนึกกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์มือถือ ก็ลองไปฝึกฝนทำกันดู หรือเข้าไปดูเพิ่มเติมใน www.protonza.com หรือถ้าต้องการติดต่อ โอ๋-วิไลพร ก็ติดต่อได้ โทร.08-5123-4780.
อาชีพตกแต่ง เคสโทรศัพท์มือถือ
 ที่มา : เดลินิวส์
Readmore...